มะม่วง
มะม่วง | |
---|---|
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Angiospermae |
ชั้น: | Rosids |
อันดับ: | Sapindales |
วงศ์: | Anacardiaceae |
สกุล: | Mangifera |
สปีชีส์: | M. indica |
ชื่อทวินาม | |
Mangifera indica L. |

มะม่วงพื้นเมืองของฟิลิปปินส์

มะม่วงสุกจากบังกลาเทศ
มะม่วงในบราซิล
มะม่วงเป็นผลไม้เศรษฐกิจ ปลูกเป็นพืชสวน ประเทศไทยส่งออกมะม่วงเป็นอันดับ 3 รองจากฟิลิปปินส์ และเม็กซิโก เป็นผลไม้ประจำชาติของอินเดีย ปากีสถาน และฟิลิปปินส์ รวมทั้งบังกลาเทศ
สายพันธุ์

มะม่วงในออสเตรเลีย
- เขียวเสวย เป็นพันธุ์พื้นเมืองของนครปฐม ผลยาว ด้านหลังผลโค้งนูนออก ปลายแหลม ผิวเรียบ สีเขียวเข้ม เปลือกหนา เหนียว ผลแก่รสมัน
- น้ำดอกไม้ เป็นพันธุ์ที่กินผลสุก รูปร่างยาวเรียว ผลดิบเนื้อขาว รสเปรี้ยวจัด ผลสุกสีเหลืองนวล รสหวาน
- อกร่องทอง เป็นพันธุ์เก่าแก่ นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวมูน ผลค่อนข้างเล็ก มีร่องเป็นแนวยาวที่ด้านท้อง ผลสุก เนื้อละเอียด มีเสี้ยนน้อย
- ฟ้าลั่น ผลกลม ท้ายแหลม ลูกขนาดกลาง นิยมรับประทานผลแก่ มีรสมัน เมื่อปอกเปลือก เนื้อมะม่วงจะปริแตก
- หนังกลางวัน ผลยาวคล้ายงาช้าง แก่จัดรสมันอมเปรี้ยว สุกรสหวาน
- แก้ว นิยมกินดิบ ผลอ้วนป้อม เปลือกเหนียว เมื่อเกือบสุกเปลือกจะมีสีอมส้มหรืออมแดง
- โชคอนันต์ รูปร่างยาว ปลายมน กลายพันธุ์มาจากมะม่วงป่า นิยมนำไปทำมะม่วงดอง
- มหาชนก เป็นลูกผสมของมะม่วงพันธุ์หนังกลางวันกับพันธุ์ซันเซ็ตจากอินเดีย ผลยาวรี สุกสีเหลืองเข้ม มีริ้วสีแดง เนื้อไม่เละ กลิ่นหอม จะสุกในช่วงที่มะม่วงพันธุ์อื่นวายแล้ว
การใช้ประโยชน์
ผลมะม่วงนำมารับประทานได้ทั้งดิบและสุก มะม่วงดิบเปลือกสีเขียวเนื้อสีขาวส่วนใหญ่มีรสเปรี้ยว ยกเว้นบางพันธุ์ที่เรียกว่ามะม่วงมัน ส่วนผลสุกจะมีสีเหลืองทั้งเปลือกและเนื้อ รับประทานสด หรือ นำไปทำเป็นอาหารเช่น ข้าวเหนียวมะม่วง อีกทั้งมีการนำไปแปรรูป เช่น มะม่วงแก้ว มะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงเค็ม น้ำแยมมะม่วง พายมะม่วง เป็นต้น แบ่งมะม่วงตามความนิยมในการรับประทานเป็น 3 ประเภทคือ- นิยมรับประทานดิบได้แก่พันธุ์ที่มีรสหวานมันตอนแก่จัด เช่น เขียวเสวย แรด พิมเสนมัน ทองดำ เขียวไข่กา หรือมีรสมันตอนอ่อนไม่เปรี้ยว เช่น ฟ้าลั่น หนองแซง มะม่วงเหล่านี้เมื่อสุกแล้วจะหวานชืด ไม่อร่อย
- นิยมรับประทานสุก เมื่อดิบมีรสเปรี้ยว ต้องบ่มให้สุกก่อนรับประทานเช่น อกร่อง นวลจันทร์ น้ำดอกไม้ นำไปประกอบอาหาร เช่น ใส่ในน้ำพริก ยำ
- นิยมนำมาแปรรูป แก่จัดมีรสมันอมเปรี้ยว เมื่อสุกหวานอมเปรี้ยวหรือหวานชืด จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็นมะม่วงดอง มะม่วงกวนและอื่นๆ เช่น มะม่วงแก้ว พิมเสนเปรี้ยว
- เนื้อไม้นำมาทำเฟอร์นิเจอร์
- ใช้ยอดอ่อน ผลอ่อน มาประกอบอาหารแทนผัก
- ใช้เป็นยาสมุนไพร เช่น ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน เป็นต้น
- ชาวกะเหรี่ยงในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่นำเปลือกต้นมะม่วงไปย้อมผ้า ให้สีเขียว
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) | |
---|---|
พลังงาน | 250 kJ (60 kcal) |
15 g
| |
น้ำตาล | 13.7 g |
ใยอาหาร | 1.6 g |
0.38 g
| |
0.82 g
| |
วิตามิน | |
วิตามินเอ |
(7%)
54 μg
(6%)
640 μg |
ไทอามีน (บี1) |
(3%)
0.03 mg |
ไรโบเฟลวิน (บี2) |
(3%)
0.04 mg |
ไนอาซิน (บี3) |
(4%)
0.67 mg |
(4%)
0.2 mg | |
วิตามินบี6 |
(9%)
0.12 mg |
โฟเลต (บี9) |
(11%)
43 μg |
วิตามินซี |
(43%)
36 mg |
ธาตุโลหะ | |
แคลเซียม |
(1%)
11 mg |
เหล็ก |
(1%)
0.16 mg |
แมกนีเซียม |
(3%)
10 mg |
ฟอสฟอรัส |
(2%)
14 mg |
โพแทสเซียม |
(4%)
168 mg |
สังกะสี |
(1%)
0.09 mg |
มะม่วงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องจากผลผลิตมีรสชาดดี และคุณภาพมาตรฐาน ที่สำคัญคือความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้ได้รับใบรับรองสวนตามระบบ GAP แล้ว จำนวน 48 แปลง ในปี 2547 มีพื้นที่ปลูก 107,005 ไร่ ปลูกอยู่ทุกอำเภอของจังหวัด ผลผลิตมะม่วงของจังหวัดฉะเชิงเทราส่วนใหญ่จำหน่ายตลาดภายในประเทศ การจำหน่ายตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีการลงนามสัญญาซื้อขายมะม่วงเพื่อการส่งออกระหว่างเกษตรกรชาวสวนกับบริษัทผู้ส่งออก ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน ทุกปี
พันธุ์ส่งเสริม รับประทานสุก ได้แก่ น้ำดอกไม้ น้ำดอกไม้สีทอง หนังกลางวัน อกร่อง
รับประทานดิบ ได้แก่ ทองดำ ฟ้าลั่น เขียวเสวย แรด ทวายเดือนเก้า
แปรรูป ได้แก่ แก้ว สามปี
พื้นที่ปลูก ปี 2547 มีพื้นที่ปลูก 107,005 ไร่ โดยสามารถปลูกได้ทุกอำเภอของจังหวัด แต่พื้นที่ผลิตเพื่อการส่งออก มี 7 อำเภอ ได้แก่ บางคล้า ราชสาส์น แปลงยาว พนมสารคาม สนามชัยเขต
ท่าตะเกียบ และกิ่งอำเภอคลองเขื่อน
การปลูก 1. ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
2. ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้าง และลึกประมาณ 50 เซนติเมตร
3. ผสมหน้าดินกับปุ๋ยคอกจำนวน 5 กิโลกรัม และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตจำนวน 500 กรัม เข้าด้วยกัน
4. รดน้ำต้นพันธุ์ให้ชุ่มเพื่อสะดวกในการถอดถุง ยกถุงต้นกล้าไม้ว่างในหลุม โดยให้ระดับของดิน ในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
5. ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุง ทั้ง 2 ด้าน (ซ้ายและขวา) ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก กลบดินที่เหลือลงในหลุม อย่างกลบดินให้สูงถึงรอยเสียบยอด หรือรอยทาบ กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น
6. ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมโยก
7. หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง
8. รดน้ำให้ชุ่ม
9. ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสดงแดด
10. แกะผ้าพลาสติกที่พันรอยทาบ เมื่อปลูกไปแล้วประมาณ 1 – 2 เดือน
ระยะปลูก ระยะปลูกระหว่างต้นและแถวที่แนะนำคือ 8 X 8 เมตร หรืออย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 6 X 8 เมตร หรือ 6 X 6 เมตร
จำนวนต้นต่อไร่ กรณีปลูกระยะ 8 X 8 จะได้จำนวน 25 ต้น/ไร่
กรณีปลูกระยะ 6 X 6 จะได้จำนวน 45 ต้น/ไร่
การดูแลรักษา
การใส่ปุ๋ย ควรตรวจวิเคราะห์ดินแล้วใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำจากการวิเคราะห์ดินหรือมีหลักการใส่ปุ๋ย ดังนี้
1. ปริมาณปุ๋ยที่ให้ทั้งหมดเท่ากับครึ่งหนึ่งอายุต้น ยกเว้นปุ๋ยทางใบควรใช้ปริมาณ 20กรัม/
น้ำ20 ลิตร
2. มะม่วงเล็กที่ยังไม้ให้ผล อายุ 1 – 3 ปี ควรใส่สูตรเสมอ 15 – 15 – 15 หรือ 15 – 15 –15
3. มะม่วงที่ให้ผลแล้วบำรุงต้น ควรใส่สูตร เช่น 16 – 16 – 16 หรือ 15 – 15 – 15
4. สร้างตาดอก ควรใช้สูตร 8 – 24 – 12 หรือ 8 – 24 – 24
5. บำรุงผลควรใช้สูตร 15 – 15 – 15 หรือ 16 – 16 – 16
6. ปรับปรุงคุณภาพ ควรใช้สูตร 8 – 24 – 24 หรือ 13 – 13 – 21
การให้น้ำ หลังจากปลูกใหม่ ๆ ถ้าฝนไม่ตกควรรดน้ำทุกวัน และค่อย ๆ ห่างขึ้น 3 – 4 วัน/ครั้ง สำหรับมะม่วงที่โตแล้วและกำลังติดผล อาจมีการให้น้ำบางระยะเท่านั้น ช่วงที่มะม่วงต้องการน้ำมากที่สุด
มีอยู่ 2 ช่วง คือ ช่วงที่มีการเจริญเติบโตทางกิ่งและใบ และช่วงระยะติดผลอ่อน สำหรับช่วงก่อนออกดอกมะม่วงต้องการน้ำน้อยหรือไม่ต้องการน้ำเลย แต่ช่วงที่มะม่วงติดผลแล้ว จะมีความต้องการน้ำค่อนข้างสูง และต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
การปฏิบัติงานอื่น ๆ การตัดแต่งกิ่งมะม่วงขนาดเล็ก เมื่อต้นมะม่วงสูงในระยะ 1 เมตร (แต่สำหรับมะม่วงระยะชิดควรเป็น 0.5 เมตร) แต่ยังไม่แตกกิ่งก้านสาขา ควรใช้กรรไกรหรือมีดคมตัดปลายยอดทิ้ง เพื่อให้แตกกิ่งก้านสาขาแล้วเลือกกิ่งที่แข็งแรงไว้เพียง 3-4 กิ่ง โดยแต่ละกิ่งทำมุมเท่า ๆ กันแล้วตัดกิ่งอื่นที่ไม่ต้องการออก การตัดกิ่งมะม่วงที่ให้ผลแล้ว ควรทำการตัดกิ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลแล้วทุกปี โดยเริ่มจากกิ่งใดกิ่งหนึ่งจากโคนกิ่งไปยังปลายกิ่งจนครบทุกกิ่ง โดยทำการตัดกิ่งกระโดง กิ่งน้ำค้าง กิ่งไขว้ กิ่งแห้ง กิ่งเป็นโรคแมลง กิ่งฉีกหักเสียหาย และกาฝาก กิ่งซ้อนทับตำแหน่งกิ่งใหญ่ ๆ ที่มีกิ่งเล็กกิ่งน้อย ให้ตัดออก ตำแหน่งกิ่งใหญ่ ๆทีมีกิ่งเล็กกิ่งน้อย ให้ตัดออก ตำแหน่งปลายกิ่งที่แตกเป็นกระจุกให้ตัดไว้เหลือ 2 – 3 กิ่งที่เหมาะสม
การป้องกันกำจัด ควรมีการสำรวจสถานการณ์ศัตรูพืชที่มีปริมาณมากพิจารณาใช้สารเคมี ดังนี้
ศัตรูพืช
1. เพลี้ยจักจั่น ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยคาร์บาริล เอ็นโดซัลเฟน แลมด้า ไซฮาโลทริล
ไฮฟลูทริน เฟนิโตรไธออน อิมิดาคลอร์พริด เฟ็นปาร์โรปาทริน 10% E
2. เพลี้ยไฟ ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยเอ็นโดซัลเฟน แลมด้า ไซฮาโลทริน ไดเมทโธเอท
ระยะแตกใบอ่อน แทงช่อ ติดผลขนาดมะเขือพวง
3. โรคแอนแทรคโนส ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยสารแมนโคเซบ คาร์เบ็นดาซิม และ
อะซ็อสซี่สโตรบิน เบนโนมิล โปรคลอราช
4. โรคราแป้งขาว ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยกำมะถัน พาราโซฟอส ไมโครบิวทานิล
ไตรอะไดมีฟอน
5. แมลงวันผลไม้ ป้องกันโดยใช้ตัวห้ำ เช่น มดคัน การรมควัน การห่อผล การใช้สาร ล่อ เช่น เมทธิลยูจินอล ผสม เฟนิโตรไธออน หรือ ไตรคลอร์ฟอน
6. ด้วงกัดใบมะม่วง ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยเฟนิโตรไธออน สารไพรีทรอยด์สังเคราะห์ คาร์บาริล คาร์โบซัลแฟน
7. หนอนเจาะผลมะม่วง ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยเมทามิลโดฟอส ขณะที่มะม่วงติดผลอ่อน
8. หนอนเจาะยอดมะม่วง ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยคาร์บาริล คาร์โบซัลแฟนช่วงแตกใบอ่อน
9. ด้วงกัดกินดอกและใบอ่อน ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยคาร์บาริล คาร์โบซัลแฟน
การห่อผล ควรมีการห่อผลที่อายุ 60 วัน หลังดอกบานหรือผลมีขนาดเท่าไข่ไก่ เพื่อป้องกันแมลงวันผลไม้วางไข่ ลดความรุนแรงการทำลายของแอนแทรคโนสและทำให้ผิวสวย ถุงควรเป็นถุง 2 ชั้น ด้านในเป็นกระดาษดำ หรือถุงที่ไม่เปื้อนหมึกพิมพ์ (กรณีมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ไม่ควรใช้ถุงดำห่อผล
เพราะจะทำให้สีผิวเพี้ยนไป
การเก็บเกี่ยวและการจัดการผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว
เป็นช่วงที่จะได้รับผลตอบแทนจากการปฏิบัติดูแลรักษา ดังนั้น ควรทำด้วยความประณีต โดยพิจารณาจาก
1. อายุการเก็บเกี่ยว โดยมะม่วงเพื่อการบริโภคสดต้องเก็บผลแก่ แต่ยังไม่สุก คือมีการพัฒนา ทางสรีระมากเพียงพอที่จะสามารถสุกได้เป็นปกติ สังเกตจาก
1.1 นวลที่ผิว สีของผล สีของเนื้อ
1.2 นับจำนวนวันจากการติดผลหรือแทงช่อดอกจนถึงเก็บเกี่ยว (สภาพอากาศมีส่วนให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้) เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ออกดอกในฤดูฝนจะเก็บเกี่ยวใช้เวลา 85 – 90 วัน แต่ถ้าออกดอกฤดูหนาวต้องใช้ช่วงเวลาประมาณ 110 – 120 วัน
1.3 ทดสอบโดยการนำมะม่วงแช่น้ำ มะม่วงแก่ความถ่วงจำเพาะมักจะมากกว่าน้ำจึงจมน้ำ
2. วิธีการเก็บเกี่ยว ต้องเก็บด้วยความระมัดระวัง โดยวิธีการเก็บเกี่ยวให้เหลือขั้วผลยาวป้องกันน้ำ ยางไหลจากผล รีบนำเข้าที่ร่มและขนบ้ายไปยังโรงเรือนคัดบรรจุ
3. การคัดเลือกคุณภาพผลผลิต โดยคัดเลือกผลที่มีตำหนิโรค – แมลงรบกวน ตัดขั้วมะม่วงให้มี ความยาวประมาณ 1 – 2 ซม. กรณีมะม่วงส่งออกจะตัดขั้วยาวประมาณ 3 ซม. คัดขนาดผลและ ระดับคุณภาพ หรือบรรจุลงภาชนะ หรือปฏิบัติขั้นตอนเพื่อการเก็บรักษา ขนส่งหรือจำหน่ายต่อไป
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น